เมื่อวานปักแม้ไทยการยางมากินข้าวที่บ้าน มีคนอื่นมาด้วยอีก ๔ คน ผู้หญิงอายุรุ่นเดียวกับแม่ ๒ คน เราคุ้นๆ หน้าจากตอนที่เวลามีงานแล้วเชิญคนบ้านโป่งมา แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครยังไง รู้ทีหลังว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน อีกสองคนเป็นผู้หญิงผู้ชายอีกคู่หนึ่ง ฟังจากที่คุยก็รู้ว่าคนผู้หญิงเป็นลูกของผู้หญิงที่เป็นพี่สาว เราก็นึกว่าคนผู้ชายเป็นลูกเขย
นั่งคุยๆ กันพักใหญ่แล้วก็ไปกินข้าวที่ร้านนายแกละ เราก็ไม่ได้คิดอะไรเลย จนกระทั่งกินเสร็จแล้วกลับมาที่บ้าน เขาก็มานั่งคุยกันต่ออีกหน่อย เรามาเอะใจ (นิดเดียว) ตอนที่อยู่ปักแม้ก็พูดกับเราว่า “นี่ ตอนนี้ปักแม้ก็แนะนำให้รู้จักกันไว้แล้วนะ” แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เราก็งงๆ ว่าแนะนำอะไรฟะ ความมาแตกเอาตอนเขาจะกลับกัน “คุณลูกเขย” ก็ควักซองอั่งเปาออกมา ทีแรกเรายังนึกว่าเขาจะควักมาให้เตี่ยกับแม่หรือปักแม้ แต่เขาเดินมาหาเราแล้วก็บอกว่า ตามธรรมเนียมเขาต้องให้... ยังพูดไม่ทันจบเราก็ถึงบางอ้อ!!
ตอนนี้เตี่ยแม่เราก็รีบเขามากัน บอกว่าไม่ต้องให้ รีบพูดเป็นภาษาจีนยาวยืดเราฟังไม่เข้าใจ แต่มีตรงที่ว่า “หงีอึ๋มตี๊ๆ” ซึ่งเรารู้ว่าแปลว่า เราไม่รู้เรื่อง เราฟังแล้วก็คั๊นคันปาก อยากจะบอกว่า “ไหงตี๊แล้ว” สุดท้ายก็ไม่ได้ให้ซอง ก่อนจะกลับ “คุณลูกชาย” ก็ถามว่ามีนามบัตรหรือเปล่า เราไม่กล้าจะไม่ให้ ก็เลยต้องไปค้นมาจากกระเป๋า เขาดูแล้วเห็นเป็นที่ทำงาน ก็เลยขอเบอร์มือถือ เราก็ไม่กล้าจะไม่ให้อีก ก็จำต้องบอกไป
พอเขากลับไปเราก็รู้สึกงอนแม่มากว่า ทำอย่างงี้กับเราได้ไง ก็เลยหลบไปใช้คอมฯที่ออฟฟิศก๊อ พอกลับมาแม่ก็บอกว่า พอดีเมื่อเช้าเขาโทรมาถามว่า อาทิตย์ลูกสาวกลับบ้านหรือเปล่า จะมาเที่ยว จะให้แม่บอกว่ายังไง ก็ต้องบอกว่าจะมาก็มา เราบอกว่าทีหลังแม่ก็บอกไปว่า ไม่อยู่ อาทิตย์นี้ไม่ได้กลับ แม่บอกว่า นี่ลูกสาวฉันมันต้องว่าฉันอีกแน่ๆ เลย เราบอกว่า เราไม่ว่าหรอก เพราะว่าไปก็ไม่มีประโยชน์ (เซ็ง)
ตอนเย็นกินข้าว แม่บอกว่า เขาเกิดปีฉลู แก่กว่าพี่เธียร ๑ ปี (แก่กว่าเรา ๑๑ ปี ถึงว่าสิ ตอนที่เราเห็นเขาทีแรก เราไม่ได้เอะใจ ก็เขาอายุเยอะจนเราไม่คิดว่าเขาจะมาดูตัวอ่ะนะ) เราเลยถามว่า อายุขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่แต่งงาน แม่บอกว่า สงสัยแม่เขาเลือกมาก เราบ่นกับแม่ว่า ทำไมแม่ยังมีความหวังอยู่อีกเหรอ (ว่าจะให้เราแต่งงาน) แม่บอกว่า ใช่ ยังหวัง เราบอกว่า เรามีความสุขดีนะ แม่ทำแบบนี้ ทำให้เราลำบากใจ
แม่บอกว่าก็แค่กินข้าวด้วยกันเฉยๆ เราบอกว่ามันไม่ใช่แค่กินข้าวแล้วจบ เดี๋ยวเขาก็ต้องโทรมา แล้วเราก็ไม่อยากคุย แม่บอกว่าคุยกันจะเป็นไรไป เราบอกว่า ก็เราไม่อยากคุย ไม่เห็นจะมีเรื่องคุยอะไร แม่บอกว่าก็แค่เป็นเพื่อนกัน เราบอกว่ามันจะไม่เป็นเพื่อนอ่ะสิ เพื่อนเรามีเยอะแล้ว เพื่อนเขาก็มีเยอะแล้ว แม่ถามว่าเรารู้ได้ไงว่าเขามีเพื่อนเยอะ เราบอกว่าไม่รู้หรอก แต่เพื่อนเรามีเยอะแล้ว
เวลามีคนมาแบบนี้ แล้วพอเราไม่สนใจ เราก็โดนว่าอีก อย่างคราวที่ฉุกผอพาคนมาก็เหมือนกัน พอเราไปเยี่ยมฉุกผอ เขาก็ต่อว่าเราว่า ทำไมเราเลือกมาก ไม่ให้โอกาสทางผู้ชายเขาบ้างเลย มันก็เสียกันไปหมด เราถามแม่ว่า ทำไมถึงคิดว่าแต่งงานแล้วจะดี เราอยู่แบบนี้สบายจะตาย จะทำอะไรก็ทำได้ แม่ห่วงเราตอนแก่ แต่ลองนึกดู แต่งงานไป มีลูก เกิดเขาตายไป เราต้องเลี้ยงลูกเอง เกิดแก่แล้วลูกหลานไม่ดูแล ก็ลำบากเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าแต่งงานจะดีกว่าไม่แต่งงาน แม่บอกว่าทำไมถึงจะไปคิดว่าเราจะโชคร้ายเจอเรื่องแบบนั้น เราบอกว่าไม่ใช่ แต่คนเราชีวิตมันถูกลิขิตไว้แล้ว จะเป็นยังไงก็ต้องเป็นอย่างนั้น แม่ไม่ต้องห่วงเราหรอก แต่แม่ก็ยังห่วง เราบอกว่า เรามีเพื่อนเยอะแยะ ตอนนี้เราก็อยู่กับก๊อ มีหลานเยอะแยะ ถ้ามันไม่ดูแล เราไปอยู่หมู่บ้าน ฒ ผู้เฒ่า ก็ได้ มีเงินจ่ายเขาดูแลอย่างดี บางทีจะดีกว่าลูกๆ หลานๆ ซะอีก
แต่เราว่าแม่ก็ฟังๆ ไปงั้น เขาคงยังหวัง (ลมๆ แล้งๆ) อยู่ เราไม่รู้จะอธิบายให้แม่ฟังยังไงว่า อายุเราขนาดนี้แล้ว เราคิดว่าเราเลือกทางเลือกที่เหมาะกับตัวเราเองแล้ว และดูแลตัวเราเองได้ เวลามีคนมาดูตัวเราแบบนี้ แล้วเราไม่สนใจ ก็จะคิดว่าเลือกมาก เล่นตัว ไม่สนใจ แต่เรายังคิดว่าการแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับเรา แค่เราคิดจะคบกับใครสักคน กระทั่งที่ไม่ใช่คนที่มีการแนะนำมา แต่เป็นคนที่เราคิดว่า “น่าสนใจ” เรายังคิดว่ายาก เพราะมันมีต้อง commitment ต้องมีการเสียสละความสุขส่วนตัว ซึ่งเรายังไม่พร้อมจะเสียสละ แล้วนี่เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ จะให้มา “ลองๆ ดูๆ กันไปก่อน” มันไม่ง่ายๆ อย่างนั้น
เราคงเห็นแก่ตัวมากเกินไป ไอ้คำว่า “ลองๆ ดูๆ กันไปก่อน” มันหมายถึงเราต้องถอยความเป็นส่วนตัวของเราลงไป ยอมที่จะไปใช้เวลาศึกษา ทำความรู้จัก เราถามว่าทำไปเพื่ออะไร คำตอบที่ชัดเจนที่สุดคือ เพื่อดูว่าคนคนนี้จะเป็นคู่ชีวิตของเราได้ไหม แต่เรามีคำถามต่อไปว่า แล้วจริงๆ เราต้องการที่จะมีคู่ชีวิตหรือเปล่า คำตอบก็คือ ไม่แน่ใจ เราคงเป็นคนหวังลาภลอยในเรื่องชีวิตคู่ เพราะเราไม่คิดกระทั่งจะ “ลงทุน” กับมัน ถ้าเราโชคดีบังเอิญเจอคนที่ถูกใจ แล้วได้แต่งงาน ก็ดี แต่ถ้าไม่โชคดี แล้วให้เราต้องมาพยายาม “ลองๆ คบกันดูก่อน” เราไม่คิดว่าเราอยากจะมีคู่ชีวิต เราไม่คิดว่ารางวัลตอบแทนมันจะคุ้มค่ากับที่เราจะต้องลงทุน ยิ่งเทียบกับสภาพการณ์ในปัจจุบันของเรา ที่ไม่ได้มีความเดือดร้อนลำบากอะไรของเรา ยิ่งทำมองเห็นได้ยากว่าจะ “ลงทุน” ไปทำไม
พอมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ก็เราทำให้เราต้องมองย้อนกลับไปถึง “ชีวิตรัก” ของเรา ซึ่งที่จริงน่าจะเรียกว่า ชีวิต “ไร้” รัก ซะมากกว่า เพราะเราไม่เคยมีแฟน ไม่เคยได้คบกับใครเป็นตัวเป็นตน แม่เคยถามว่า ทำไมเหรอ ลูกฉันมันเป็นยังไงเหรอ ถึงไม่มีใครมาจีบ เราก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็มีคนหลายๆ คนเขามาแสดงความชื่นชมให้เรารู้ แต่คงเป็นเพราะ attitude ส่วนตัวของเรา ที่ทำให้ไม่ใครกล้าทำอะไรมากไปกว่านั้น
สมัยเรียนลาดกระบัง มีคนที่บอกเพื่อนๆ ในกลุ่มตัวเองว่าชอบเรา โดยหวังว่าจะให้มาเข้าหูเรา (ซึ่งก็เข้าจริงๆ) แต่เราก็ยังออกไม่ค่อยเชื่อ เพราะไม่ได้ยินจากปากเจ้าตัว ที่เราได้ยินชัดที่สุดคือ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราเดินผ่านโต๊ะที่เขานั่ง แล้วเพื่อนในโต๊ะก็ทำท่าพิกลจนเราต้องหันไปดู แล้วเจ้าตัวพูดดังๆ ออกมาว่า “โอ๊ย... เขินโว้ย” นั่นเป็นสิ่งที่ใกล้ที่สุดของคำสารภาพว่าเขาชอบเรา เรื่องนี้นานเกินกว่าสิบปี แต่ที่น่าประหลาดคือ พ่อหนุ่มคนนี้ยังโสด และเคยโทรหาเราแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คุยแบบไม่มีสาระ beating around the bush จนคิดว่ามันก็มีฟอร์มชิบเป๋ง แล้วก็หายไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ล่าสุดก็โทรมาหาเราเมื่อต้นปี (ครั้งก่อนหน้านั้นก็นานนนน มากจนเรานึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่)
นอกจากนี้ก็มีอีกคนหนึ่ง ซึ่งสมัยเรียนเราไม่เคยสนิทด้วยสักเท่าไหร่ แต่เขาค่อนข้างสนิทกับกลุ่มโปรเจ็คต์ของเรา จนกระทั่งตอนที่เรามาทำงาน อยู่ๆ เขาก็โทรมาหาเราและชวนคุยอย่างสนิทสนม และหลังจากนั้นก็โทรมาเป็นครั้งคราว ไม่บ่อยมากแต่ก็นับว่าผิดปกติสำหรับคนที่ไม่ได้สนิทสนมอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
สมัยที่เราไปเรียนที่เชฟฟิลด์ก็มีหนุ่มปากีฯ มาชอบเรา ที่พูดได้อย่างนั้นก็เพราะเขาก็จะชอบมาแฮงก์อยู่หอเรา และถึงขนาดยกทีวีมาให้เรายืมตอนช่วงคริสต์มาส แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไร ก็อย่างที่ใครๆ ก็รู้ว่า เราไม่ชอบแขก :) คาดว่าถ้าเราได้ลงเอยกับพ่อหนุ่มคนนี้ คง “สมใจ” หลายๆ คนอยู่ไม่น้อย
สมัยที่เราไปเรียนที่วอร์ริค ก็มีหนุ่มมาเลย์มาตีสนิทกับเรา พยายามจะชวนไปโน่นไปนี่ แต่พฤติกรรมออกจะทำให้เรารำคาญหน่อยๆ รู้ทีหลังตอนกลับมาเมืองไทยแล้ว ว่าเราดันไปหน้าคล้ายกับอดีตแฟนของแก เขายังพยายามเขียนจดหมายติดต่อกับเราอยู่พักใหญ่หลังจากกลับมาเมืองไทยแล้ว และมาเที่ยวเมืองไทยครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก
นอกจากนี้ก็ยังมีคนจีนสิงคโปร์สัญชาติอังกฤษ ที่มาชอบเราถึงขนาดพาเราไปดินเนอร์ที่ร้านอาหารไทยที่สแตรทฟอร์ด และยอมไปดูหนังอินดี้ตามเรา ตอนที่เราไปอยู่แคนซัส เขาก็บอกว่าจะไปเที่ยวอเมริกาจะได้นัดเจอกัน สุดท้ายก็ไปเที่ยวนิวยอร์ค ปัจจุบันก็ยังติดต่อกันทางอีเมล์แบบห่างๆ เขาเคยยอมรับออกมาว่าเคยคิดไปเกินกว่าเพื่อนเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่เพื่อน เดี๋ยวนี้เวลาคุยกันก็กลายเป็นว่าเล่าว่าไปปิ๊งสาวในออฟฟิศบ้าง สาวที่ยิมบ้าง ที่ซุปเปอร์บ้าง ฟังแล้วก็ขำๆ
สมัยที่เราอยู่แคนซัส ก็แอบไปกรี๊ดพ่อหนุ่มแคนาดาที่ย้ายมาทำงานที่แคนซัสชั่วคราว เรารู้จักเขาเพราะเขาเป็นเพื่อนกับฝรั่งที่เคยมาทำงานในเมืองไทย (อีตาคนนี้ก็ทำท่าจะมาชอบๆ เราอยู่เหมือนกัน ตอนที่อยู่เมืองไทยเราก็อดคิดไปหน่อยๆ ว่า อีตาคนนี้มันน่าสนใจอยู่เหมือนกัน พอเขากลับไปแคนซัสก็คิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว แต่ตอนหลังเราที่เราไปทำงานที่แคนซัสก็เหมือนจะมีรีเทิร์น แต่สุดท้ายเราก็รู้สึกว่า เราชื่นชมเขาน้อยกว่าที่เขาชื่นชมเรา ก็เลยไม่มีอะไร ตอนเราจะกลับมาเมืองไทย เขาก็พาเราไปเลี้ยงอาหาร ทำท่าอาลัยอาวรณ์ แต่ตอนนี้แต่งงานมีลูกไปแล้ว)
กลับมาที่พ่อหนุ่มแคนาดา เรารู้สึกว่าเขาเท่มากๆ เป็นหนุ่ม outdoor ฉลาด มั่นใจในตัวเอง แต่สุดท้ายเราก็ได้แต่กรี๊ดเขาฝ่ายเดียว ตอนเขากลับไปแคนาดาเขาก็ชวนว่า ถ้าเมื่อไหร่ว่างๆ จะมาเที่ยวก็ได้นะ เขาพาเที่ยวเอง ก็คงชวนไปตามมารยาท แต่เราไปจริง ซึ่งก็กลายเป็นทริปที่ค่อนข้างหายนะพอควร (เริ่มตั้งแต่เราตกเครื่องบิน ทำให้ไปสายไปเกือบครึ่งวัน ไปจนถึงไปเที่ยวน้ำตก แล้วหลงกัน คือแยกไปเข้าห้องน้ำ แล้วเราเดินออกมาไม่เจอเขาก็นึกว่าเขาเดินไปก่อนแล้ว ก็เลยเดินไปเรื่อยๆ สุดท้ายเลยกลายเป็นแยกกันเดิน เขาก็เหมือนจะโมโหๆ เราที่ไม่รอ และทำให้เขากังวลว่าเราจะหลง) พอกลับจากแคนาดา ก็หายๆ กันไป เราอีเมลไปเขาก็ไมค่อยตอบ กลายเป็นว่าเราชื่นชมเขา มากกว่าเขาชื่นชมเรา
ที่ร่ายมาเยอะแยะนี่ ทำให้เราสงสัยว่า จริงๆ แล้วเรากลัว commitment หรือเปล่า ส่วนหนึ่งก็อาจจะใช่ แต่อีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเราใช้สมองนำหัวใจ คือคิดถึงเหตุผล คิดถึงความเหมาะสม คิดถึงความเป็นไปได้ คิดจนรอบแล้วก็สรุปเอาเอง (ซึ่งเราก็เชื่อมั่นมากว่ามันถูกต้อง) ว่าไม่เวิร์ค แล้วก็เลยไม่สามารถพัฒนาไปไหนได้ แต่ถามว่า จริงๆ แล้วมันมีโอกาสเวิร์คไหม ก็อาจจะมีก็ได้ เราไม่มีทางรู้ แต่ที่แน่ๆ เราไม่พร้อมจะให้โอกาส เพราะเราไม่คิดว่าการยอมเสียสละตัวเอง เพื่อสร้างโอกาสนั้น มีจะมีค่าคุ้มกับผลที่น่าจะได้รับ (ใช้สมองอีกแล้ว)
อีกส่วนหนึ่งที่อาจจะมีผล (และบางทีทำให้เรารู้สึกขำ+หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต(ไร้)รักของตัวเอง) คือ ไอ้เจ้าบรรดาคนที่ดูเหมือนกับว่าจะมาชอบๆ เรา มาพูดมาคุยกันทีไรก็เสไปคุยเรื่องอื่นซะทุกที ไม่มีใครที่แสดงตนอย่างชัดเจนให้เราได้รู้ว่ามีความสนใจจริงจัง จนเราก็พาลไม่แน่ใจ คิดว่า เออ... เราคงจะหลงตัวเอง ที่ไปคิดว่าเขามาชอบเรา แต่ก็ลังเลอีกว่า ถ้ามันไม่ชอบ มันจะมาเสียเวลากับเราทำไม อย่างเช่นพวกที่โทรมาหาเราเนี่ย ถึงจะน๊าน นาน จะโทรมาครั้ง แต่มันก็ผิดปกติที่โทรมาโดยไม่มีธุระปะปัง ผู้ชายปกติธรรมดา มันไม่ทำอะไรโดยไม่หวังผลหรอก แล้วเท่าที่ผ่านมามันก็ยังไม่ได้ขายแอมเวย์หรือประกันชีวิตให้เราแต่อย่างใด พอคนที่แสดงเจตน์จำนงค์ชัดเจน ก็ดันกล้าไปประกาศปาวๆ ว่ารักเราตามที่สาธารณะ แต่ดันไม่กล้ายอมรับกับเราว่าตัวเองเป็นใคร ทำให้ใครต่อใครคิดว่าเราโดนคนโรคจิตติดตาม ออกแนวน่ากลัวมากกว่า น่าปลื้ม
สรุปว่า ได้ถ้าเราได้แต่งงาน ก็คงเป็นชะตาฟ้าลิขิตให้เราได้รับ “ลาภลอย” กับความรัก เพราะเราไม่คิดว่าจะ “ลงทุน” (กับคนบรรดาคนที่แอบๆ มาเสนอตัวแบบกลัวๆ กล้าๆ) และไม่คิดว่าจะ “เปิดประตูดวง” (เสี่ยงกับคนที่ใครๆ พยายามจะจัดการให้เรา) ด้วยซ้ำ
12:11 a.m. - Monday, Jun. 19, 2006
Recent entries:
::Thursday, Oct. 05, 2006 -
นินทาหัวหน้า
::Wednesday, Sept. 13, 2006 -
มุมมองคนอื่น
::Tuesday, Sept. 05, 2006 -
ว่าที่ฯ
::Monday, Jun. 19, 2006 -
รันทด
::Friday, Sept. 23, 2005 -
Raise
My profile
Archives
Notes
Diaryland
Random
RSS
others: