ตอนที่เราไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล เรามีหน้าที่ไม่กี่อย่าง กดออดเรียกพยาบาลเวลาแม่จะฉี่จะอึ ปรับเตียงขึ้นลง ช่วยพยุงให้แม่นั่งขึ้นนอนลงหรือเปลี่ยนข้างตะแคง (หลังๆ แม่ก็ตะแคงเองได้ แต่จะตะแคงไปทางซ้ายไม่ค่อยได้ เพราะข้างขวาไม่มีแรงยก) ดูแลเรื่องอาหารให้แม่ (แม่ตักข้าวกินเองได้ ใช้มือซ้าย ไม่ค่อยถนัด บางทีเราก็ตักๆ ใส่ช้อนให้ หรือตัดอาหารเป็นชิ้นเล็กๆ ให้) ช่วยดูช่วยให้กำลังใจเวลาแม่ฝึกเดิน แล้วก็รับแขกที่มาเยี่ยม
รับแขกก็คือ เอาน้ำให้กิน ปอกผลไม้มาเสิร์ฟ (ก็ผลไม้ที่คนก่อนหน้านั้นเอามาเยี่ยมอะแหละ) หลังแม่กินข้าวเช้าแล้วก็ปอกไว้เลย ให้แม่กินนิดหน่อย แล้วก็เอาไว้เผื่อแขก แขกที่มาก็มีทั้งเพื่อนแม่ เพี่อนเตี่ย เพื่อนก๊อใหญ่ มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนก๊อใหญ่ที่เป็นผู้พิพากษาสมทบยกคณะมาเจอกับเพื่อนเตี่ยที่เป็นสมาคมไลออนส์ ไม่ใช่ว่าไม่มีที่นั่งนะ ขนาดที่ยืนก็ยังจะไม่ค่อยมี ยืนกันเต็มห้องไปหมด
วันนั้นพอแขกกลับไป แม่บ่นว่า ใครจะมาเยี่ยม ไปบอกเขาเลยนะว่าไม่ต้องมา เบื่อ เครียด เราก็พยายามปลอบแม่ว่า ไม่ต้องเบื่อ ไม่ต้องเครียด คนที่มาเยี่ยม เขาอยากมาให้กำลังใจนะ เขามาด้วยน้ำใจดี แต่ก็พูดไปงั้นแหละ อีกมุมหนึ่งเราก็เข้าใจความรู้สึกของแม่ ความที่โรคนี้มันไม่มีกำหนดว่าเมื่อไหร่จะหาย แม่เองก็รู้สึกท้อแท้ เวลาคนมาเยี่ยมก็บอกว่า ไม่เป็นไรๆ มันก็เหมือนยิ่งทำให้แม่รู้สึกช่วยตัวเองไม่ได้มากขึ้นไปอีก
เราว่าคนที่เป็นโรคนี้ นอกจากต้องการกายภาพบำบัดแล้ว ก็ต้องการการฟื้นฟูจิตใจด้วย แม่ร้องไห้บ่อยมากๆ บางทีคุยกันอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ ถามว่าร้องเพราะอะไร บางทีเขาก็ไม่ยอมตอบ
เราเดาเอาว่าที่แม่ร้องไห้คงรวมๆ กันหลายๆ สาเหตุ เพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่หาย, สงสารตัวเองหรือหงุดหงิดที่ไม่สามารถทำอะไรๆ ได้, เป็นห่วงคนอื่น เช่น เตี่ย กลัวว่าถ้าแม่ไม่หาย ก็จะทำอะไรๆ ให้เตี่ยไม่ได้, เป็นห่วงเรา กังวลว่าถ้าเราแก่ตัวไปแล้ว เกิดเป็นแบบแม่ขึ้นมา แล้วจะทำอย่างไร จะอยู่อย่างไร, กับคนอื่นๆ แม่ก็เสียใจที่จะไม่ได้ทำอะไรๆ อย่างที่เคยทำ หรือมีอะไรที่แม่ยังอยากทำให้เขาแล้วไม่ได้ทำ เราก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเวลาแม่ร้องไห้ ได้แต่บอกว่า แม่ไม่ต้องร้องหรอก เดี๋ยวแม่ก็หาย แล้วก็จะทำอะไรๆ ได้เหมือนเดิม
เวลามีแขกมาเยี่ยม เราก็คุยกับเขาบ้างพอเป็นพิธี ถ้าเป็นคนที่เรารู้จักก็ง่ายหน่อย มีเรื่องให้คุย แต่ถ้าเราไม่รู้จักก็ต้องพยายายามเยอะหน่อย แต่ส่วนใหญ่เราก็จะปล่อยให้เขาคุยกับแม่หรือเตี่ยไป ซึ่งก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะส่วนใหญ่เขาก็อยากจะคุยกับเตี่ยหรือแม่อยู่แล้ว ไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่ บางทีเราเห็นคนมาเยอะๆ เขาคุยกับเตี่ยแม่บ้าง คุยกันเองบ้าง เราก็จะหลบไปที่อื่นซักพักค่อยกลับมา เขาก็กลับกันไปหมดแล้ว
แต่มีอยู่วันหนึ่งคนที่เขาเคยดูตัวเรา เขาก็มาเยี่ยม เราเห็นปุ๊บก็อึ้งนิดหน่อย คือ เราคิดว่าเรื่องนี้คงจบไปแล้ว เพราะจากวันที่เขามากินข้าวที่บ้าน ก็เงียบหายไปเลย (จากประสบการณ์ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ เขาจะโทรกลับมาภายในไม่กี่อาทิตย์หลังจากกินข้าว) เรานึกในใจว่าซวยจริง ตอนนั้นไม่มีแขกคนอื่นเลย จะหาข้ออ้างว่าคนเยอะแล้วจะหลบไปที่อื่นก็ไม่ได้ เราก็เลยต้องคุยไปตามเรื่องตามราว
พอดีมันใกล้เที่ยง แม่กับพี่สาวเขาก็ถามว่า เรากินข้าวที่ไหน เราบอกว่า เก๋ซื้อมาให้ หรือไม่ก็ไปกินข้างล่าง แม่เขาก็บอกว่างั้นไปกินสิ เขาอยู่เป็นเพื่อนแม่ให้เอง แล้วก็บอกลูกชายเขาว่า พาน้องไปกินข้าวสิ เรารีบบอกว่า ไม่เป็นไร เก๋โทรมาบอกแล้วว่าจะซื้อมาให้ เขาพยายามจะคะยั้นคะยออีก แต่เราคิดในใจว่า หัวเด็ดตีนขาดเราไม่ไปแน่ แต่รอเท่าไหร่เก๋ก็ยังไม่มาซะที โชคดีที่ซักพักหนึ่งมีแขกมาเยี่ยมอีกชุดหนึ่ง (จำไม่ได้แล้วว่าเป็นเพื่อนก๊อใหญ่หรือเพื่อนเตี่ย) เขาเห็นว่าไม่มีที่นั่งแล้ว แถมก็มาคุยพักใหญ่แล้ว ก็เลยลากลับไป เฮ้อ.... -_-"
พอซักกลางๆ ปลายๆ อาทิตย์ นั้น มีคนโทรศัพท์มาที่ห้อง ปรากฏว่าเป็นแม่ของ “ว่าที่ฯ” เรา เพิ่งรู้ว่า เราต้องเรียกแม่เขาว่า “กู๊” เดี๋ยวนี้เราจำไม่ได้เลยว่าต้องเรียกใครว่าอะไร คนนี้ต้องเป็น อาเจ็กหรืออาแปะ คนนี้ต้องเป็นอาซิ่มหรือเป็นอาอี๊ ไม่ค่อยกล้าเรียกใคร เวลาเจอก็ยกมือไหว้กราดไป แต่บางทีมากันหลายๆ คนก็ยากตรงต้องคอยให้เขาหันมาสบตาเราก่อน เราถึงจะไหว้ได้ ถ้าเรารู้ว่าเราควรจะเรียกเขาว่าอะไร ชีวิตเราคงง่ายขึ้น เรางี้นับถือซ่อก๊อเล็กกับญาติๆ ทางเขาจริงๆ เขานับญาติกันเก่งๆ แล้วก็ความจำดีกันทุกคน จำได้ทั้งชื่อทั้งตำแหน่งเลย
กู๊เขาโทรมาถามว่า แม่ออกจากโรงพยาบาลหรือยัง เราก็บอกว่าคงยังอยู่ไปอีกอาทิตย์หนึ่ง เขาบอกว่า อยากจะมาเยี่ยมอีก แต่ไม่มีคนขับรถให้ (ว่าที่ฯเราเขาทำงานอยู่ระยอง แม่เขาอยู่บ้านโป่ง) เราบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก แม่ดีขึ้นแล้ว คุยกันนิดหน่อยก็วางไป อีกอาทิตย์ถัดมา สองทุ่มกว่าๆ เรากำลังนั่งเล่นเกมอยู่ ก็มีคนโทรเข้ามือถือเรา เขาถามว่าใช่ คุณนิจวรรณหรือเปล่า เราบอกว่าใช่ แล้วเขาก็เหมือนบอกชิ่อ เราฟังไม่ถนัด (ยังไม่รู้เลยว่า ว่าที่ ชื่ออะไร) แต่เขาพูดอะไรเราจำไม่ได้ แต่ทำให้เรารู้ว่าเป็นเขา
ก็ถามว่าแม่ยังอยู่ที่รพ.หรือเปล่า (ยังอยู่) เรายังเฝ้าอยู่หรือเปล่า (เฝ้า) เราลางานได้เเหรอ (ลาได้) กินข้าวหรือยัง (กินแล้ว) เขาถามอาการแม่ เราก็บอกว่า แม่ไม่เป็นไรแล้ว คิดว่าอาทิตย์หน้าคงกลับบ้านได้ คุยกันนิดหน่อยเขาก็วางสายไป พอวันอาทิตย์นั้น เขาก็มาเยี่ยมแม่อีก 3 คนแม่ลูก เราก็นึกว่าซวยๆๆ แต่ซักพักเดียวเก๋ก็มา พี่เธียร ไอโกะ โอกิก็มาด้วย เพราะเแจ๋เก๋จะให้พี่เธียรไปรูดบัตรจ่ายค่ารักษาให้แม่ (เป็นบัตรแพลทตินัมไทยพาณิชย์ รูดปื๊ดๆ 10 บาทได้ 1 แต้ม) เราก็เลยถือโอกาสชวนเก๋ไปจ่ายตังค์ แล้วก็รีบออกมา
เดินออกมาแล้ว เราก็ถามเก๋ว่า แกรู้ไหมว่า คนที่อยู่ในห้องคือคนที่เขาเคยมาดูตัวฉัน เก๋ไม่รู้ บอกว่า อ้าวเหรอ ดูเขาอายุเยอะแล้วนะ เราบอกว่า ก็ใช่สิ เขาอายุเยอะกว่าพี่เธียร 2 ปี เก๋บอกว่า เอ๊ะ งั้นเดินกลับไปดูอีกรอบหนึ่งดีกว่า เราด่าว่าจะบ้าเหรอ เก๋บอกว่า ดูท่าทางเขาน่าจะเป็นคนมีคู่นะ น่าจะหาคู่ได้ไม่ยาก แต่ดูแล้วเขาไม่เหมาะกับแกหรอก (8-|) พอจ่ายตังค์เสร็จ กลับมา เขาก็กลับกันไปแล้ว เฮ้อ.... -_-"
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาปักแม้ไทยการยางกับพวกก๊อๆ (ก๊อนก ก๊ออ้อง ก๊อเล็ก – คนสุดท้ายนี่เราก็เพิ่งรู้ว่า – หรือคิดว่า –เขาชื่อเล็ก) มาเยี่ยมแม่ เราเพิ่งเดินสายพานเสร็จ กำลังจะกินข้าว (ส้มตำทอดที่เหลือจากตอนกลางวัน) กะว่ากินเสร็จก็จะกลับกรุงเทพฯ ไปหยิบของจากข้างบน พอลงมาเจอคนนั่งเต็มบ้านก็งง ก๊ออ้องบอกว่า เขาก็เพิ่งหายจากอาการอัมพฤกษ์ สองสามเดือนก่อนแขนขาก็ไม่มีแรงเหมือนกัน ส่วนก๊อเล็กก็แขนติด (เหมิอนที่เตี่ยเคยเป็น) ยกแขนไม่ขึ้น และเอื้อมไปข้างหลังไม่ได้ เตี่ยบอกว่า ให้พยายามฝืนทำ (ทนเจ็บเอาหน่อย) ทำทุกวันแล้วจะหายเอง แต่เขาบอกว่ามันเจ็บมาก แต่จะกลับไปลองทำดู
ปักแม้ก็เพิ่งหายจากที่ไปผ่าตัดหมอนรองกระดูกได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ตอนที่เป็นประมาณว่าเดินไม่ได้เลย ต้องให้คนหามไปรพ. ทีแรกเรานึกดีใจที่ปักแม้มาเยี่ยม เพราะเป็นคนที่ปกติแม่ก็ไปเยี่ยมไปคุยด้วยอยู่แล้ว (ไม่ใช่คนในสังคม ที่มาเยี่ยมกันตามธรรมเนียมหรือตามมารยาท) เแต่ตอนก่อนจะกลับ ปักแม้ก็พยายามจะมากระซิบกับเราเรื่องคุณว่าที่ฯ บอกว่าเป็นคนดีเป็นคนซื่อนะ ได้เจอกันหรือเปล่า ยังไงก็ลองๆ ดูเอาไว้นะ เราก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่ตอบรับหรือตอบปฏิเสธอะไรออกมา (บางอย่างเราคิดไว้ในใจเฉยๆ ดีกว่า) เฮ้อ.... -_-"
12:35 p.m. - Tuesday, Sept. 05, 2006
Recent entries:
::Thursday, Oct. 05, 2006 -
นินทาหัวหน้า
::Wednesday, Sept. 13, 2006 -
มุมมองคนอื่น
::Tuesday, Sept. 05, 2006 -
ว่าที่ฯ
::Monday, Jun. 19, 2006 -
�ѹ��
::Friday, Sept. 23, 2005 -
Raise
My profile
Archives
Notes
Diaryland
Random
RSS
others: